suree-weeken: คนคือการเดินทาง

20 ตุลาคม 2549

คนคือการเดินทาง

คนคือการเดินทาง
ภู เชียงดาว
บนถนนสายนั้น...
“กับการเดินทาง คุณชื่นชอบถนนสายใดมากที่สุด!?...”บ่อยครั้งที่ใครหลายคนชอบตั้งคำถามกันแบบนี้
แน่นอนคำตอบย่อมแตกต่างกันไป สำหรับผม ตอบได้ทันใดเลยว่า ชอบและผูกพัน ถนนบ้านเกิด - - ถนนสายแรกของชีวิต ที่เริ่มต้นจากเส้นทางเล็กๆ ผ่านหุบห้วย ภูเขา ลำเหมือง ผ่านท้องทุ่ง มุ่งสู่ ถนนสายใหญ่ - - ไกลและไกลออกไป
ถนนสายนี้แหละ คือถนนที่พาชีวิตตัวเองออกมาเผชิญกับโลกกว้าง ทั้งโลกในจินตนาการและโลกของความจริง เป็นถนนที่ทำให้ผมได้รู้จักถนนอีกหลากสาย ทั้งแปลกแยกแตกต่าง ทั้งเงียบสงบทั้งอลหม่าน เป็นถนนที่พาผมไปพบกับถนนของความราบเรียบและคดเคี้ยว ถนนของความสุขและทุกข์ ถนนของความรื่นรมย์และขมขื่นในชีวิต
จริงสิ เมื่อพูดถึงการเดินทาง คนบางคน ออกเดินทางในนาม นักท่องเที่ยว- -นักเดินทาง เพียงเพื่อต้องการแสวงหาความแปลกใหม่
คนบางคนออกเดินทางไกล เพียงเพื่อแบกเอาความเศร้า ความทุกข์อันหนักหน่ายในชีวิต ในการงาน ไปปลดปล่อยทิ้งไว้ในอีกสถานที่หนึ่ง ก่อนเดินทางกลับคืน ไปจ่อมจมอยู่กับความจริงที่ไม่อยากจำอยู่ซ้ำๆ
และยังมีคนหลายคน ออกเดินทางไปพร้อมความมุ่งมั่น แรงกล้า พกพาหัวใจเต็มไปด้วยความหวัง ทว่าตอนหวนคืนย้อนกลับบนถนนสายเก่า กลับพกพาความผิดหวังรวดร้าวมาพร้อมกับชีวิตที่พังพ่าย
...บนถนนแห่งความกล้าหาญนี้
สายลมพัดผ่าน ทิ้งพฤกษาใหญ่น้อยไว้เบื้องหลัง
ที่นี่ มีเพียงก้อนหินและตะไคร่เท่านั้น
ไม่มีสมบัติพัสถานใดๆ ไว้ให้ใครค้นหา
ที่นี่ ไม่มีใครได้เป็นเจ้าของ...
อ่านถ้อยความของ 'เฮสเส' บทนี้แล้ว ทำให้ผมนึกไปถึงคนคุ้นเคยและญาติพี่น้องของผมที่พาชีวิตเหวี่ยงออกมาจากบ้านเกิด ออกมาเดินไปตามถนนสายนั้น
ภาพของหนุ่มน้อยหลายคนออกจากหมู่บ้าน ไปเป็นทหารในกองทัพ แล้วหวนกลับมาพร้อมกับความบอบช้ำของสงคราม ทว่าบางคนไม่ยอมกลับสู่บ้านของความจน หากเฝ้าทำงานเป็นนักเลงคุมผับบาร์ ในเมืองเชียงใหม่แทน
ภาพของหญิงสาวออกจากหมู่บ้าน ไปเป็นลูกจ้างในร้านอาหาร ในโรงงานขนมปัง ในโรงงานนิคมอุตสาหกรรมลำพูน แล้วพาร่างกลับมาพร้อมกายอันซีดผอมด้วยโรคร้าย และจากไปอย่างเงียบๆ
นั่น, ภาพชายวัยกลางคนละลูกเมียไว้ในบ้าน ก่อนแบกกระเป๋าเดินไปตามถนนสายนั้น ไปเป็นยามตามโรงแรม เพียงไม่นาน…เมืองใหญ่ก็กลืนเขาหายลับไม่กลับคืนสู่บ้านอีกเลย
แน่นอน...มีหนุ่มสาวบางกลุ่มออกจากหมู่บ้าน มาเรียนต่อในเมืองเพื่อหาความรู้ แต่กลับพบกับความไม่รู้ วิถีเคว้งบนทางแยกแปลกใหม่ บ้างพึมพำร่ำไห้ในความสับสนและเมามาย จะเดินหน้าหรือว่าถอยหลังกลับไป...ไม่รู้ ไม่เข้าใจตัวเอง
มีหลานชายผมคนหนึ่ง เรียนจบแล้วตัดสินใจหวนคืนบ้านเกิดทันที เขาตัดสินใจกลับไปพลิกผืนดินทำสวนทำไร่ พร้อมกับบอกว่า เราต้องกลับไปยึดฐานที่มั่นเอาไว้...ผมยิ้ม เหมือนยังมีดอกไม้แห่งความหวังดอกหนึ่งผลิบานในใจ ในขณะที่ยังมีอีกหลายคนหลายใคร ยังคงมุ่งหน้าออกเดินทางไกล...ไกลไปจากเดิม
แน่นอน ยังคงมีอีกหลายชีวิต ที่ยังพร้อมเผชิญย่ำเดินไปบนถนนเมือง บ้างพลัดหลงเข้าสู่ปลักวังวนของความฟุ้งเฟ้อและดำมืด บ้างตกใจพยายามตะเกียกตะกายคว้าไขว่หาที่เกาะให้ยึดมั่น ทว่าสิ่งที่จับได้กลับไร้ราก เปราะบาง ร่างจึงร่วงผล็อย ชีวิตจึงบาดเจ็บอยู่ซ้ำๆ มิรู้หาย แต่ก็จำออกเดินทางไกล ระเหระหนบนความไม่แน่นอนกันต่อไป
หลานสาวอีกคน ทำสีหน้าเศร้า บอกว่า ใจหนึ่งอยากกลับบ้าน แต่ไม่รู้จะกลับไปทำไม ในเมื่อบ้านหลังนั้นล่มสลายไปนานแล้ว และเพื่อนรักของผมคนนั้น ออกจากบ้านมานานพอๆ กัน แต่กว่าจะกลับคืนสู่บ้านอีกครั้งก็ต่อเมื่อเหลือแต่ร่างที่ไร้ลมหายใจ นั่นเป็นการเดินทางไกลที่สุดของชีวิต, ในความรู้สึกของผม
ผมพยายามทำความเข้าใจ...ในวิถีชีวิตของทุกคนกับการเดินทางบนถนนสายนั้น บางสิ่งดูหม่นมัวไม่มีความกระจ่าง บางอย่างก็มิอาจอธิบายให้ใครเข้าใจได้
เหมือนกับผมในห้วงยามนี้ ที่พาตัวเองออกมาจากบ้าน นานและไกลเช่นเดียวกัน...
จนบางครั้งทำให้ผมครุ่นคิดไปต่างๆ นานา ทำไมคนเราต้องออกเดินทาง หรือว่าแท้จริงแล้ว ชีวิตเราล้วนมาจากทางสายเปลี่ยว...มาจากถนนที่พาเราซัดเซพเนจร ถนนสายที่ใครหลายใคร กำลังเดินทางไปที่โน่นที่นั่น ที่นี่...
เป็นถนนที่เชื้อเชิญใครหลายคนพาชีวิตออกมาสู่โลกภายนอก
อีกทั้งยังเป็นถนนที่ทอดร่างรอรับการกลับคืนของใครอีกหลายคน
และมาถึงตอนนี้ ผมมิอาจคาดเดาได้เลยว่า ท้ายสุดแล้ว ถนนสายนั้น, มันจะเป็นถนนของความกล้าหาญหรือว่าเป็นถนนของความว่างเปล่า...
แล้วคุณล่ะ...ชอบถนนสายใดในชีวิต!?
** บางถ้อยความใน “พเนจร”ของ “แฮร์มานน์ เฮสเส” วัชรา ทรัพย์สุวรรณ แปล สนพ.เจ้าพระยา จัดพิมพ์,2526

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

สมัครสมาชิก ส่งความคิดเห็น [Atom]

<< หน้าแรก